-- หนังสงครามก่อน 1917 เขาเล่าเรื่องอะไรกันมาบ้าง (PART 1) --
ยังคงคิดว่า 1917 เป็นหนังที่เจ๋งมาก ๆ อยู่ดี สำหรับการทำหนังสงครามเปลี่ยนฟอร์มมาทดลองเล่าเชิงภารกิจเพื่อโชว์ความมหัศจรรย์ของการดูหนังในโรงยุคปัจจุบัน แต่วันนี้จะขอพาย้อนไปดูประวัติศาสตร์หนังสงครามที่ประสบความสำเร็จในอดีตนั้นพูดถึงอะไรกันมาบ้าง
ในยุคหนึ่งที่หนังสงครามจะต้องมีประเด็นสักอย่างให้จับต้องได้แน่น ๆ อย่างเช่น All Quiet on the Western Front (1930) ถ้ามองในปีที่สร้างมันเจ๋งมาก เพราะสมัยนั้นคนมีอิทธิพล อย่างเช่นอาจารย์หรือสื่อไม่กี่ช่องทางที่ถูกควบคุมล้วนโฆษณาชวนเชื่อให้สมัครเป็นทหาร ได้ออกรบจะดีอย่างนู้นอย่างนี้ แต่หนังก็พาไปดูว่าสงครามไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดแล้วมันก็ค่อย ๆ ทำลายตัวเรา ในยุคที่หนังต่อต้านสงครามยังไม่มากการได้เห็นเรื่องนี้ชนะรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
.
หรือพอช่วงยุค 40's จุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 มันก็เริ่มมีหนังที่สร้างมาอ้างอิงสงครามโลก ที่ได้รับการยกย่องภายหลัง เช่น Rome, Open City (1945) เป็นหนังอิตาลี่เล่าเรื่องชีวิตของกลุ่มใต้ดินที่ต่อต้านนาซี ซึ่งอิตาลี่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นพันธมิตรกับนาซี ดังนั้นกรุงโรมจึงถูกจัดว่าเป็น เมืองเปิด ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทิ้งระเบิดหรือถูกนาซีฆ่า เพียงแต่พวกเขาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารนาซีที่ประกาศเคอร์ฟิว, อาหารก็มีการแบ่งปันส่วน แล้วพวกนาซีเขาก็จะคอยสอดส่องหากลุ่มชาวอิตาเลี่ยนที่ต่อต้านนาซีด้วย ซึ่งหนังมันก็ทำออกมายกย่องเชิดชูการต่อสู้ใต้ดินของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจการตกอยู่ใต้อำนาจของชนชาติอื่นบนแผ่นดินตัวเอง
.
ในปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝั่งอเมริกันยังมีหนังดีมาก ๆ อีกเรื่องคือ The Best Years of Our Lives (1946) ชนะ 7 รางวัลออสการ์ รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หนังเล่าถึงชีวิตทหารผ่านศึก 3 คนที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตในสังคมอเมริกัน ซึ่งพวกเขาพบว่าตัวเองต้องปรับตัวอย่างมาก คนแรกเป็นทหารผ่านศึกยศผู้กอง ได้รับคำชมเชยถึงความกล้าหาญในสงคราม เขาเคยมีรายได้เดือนละ 400 เหรียญจากการทำหน้าที่รับใช้กองทัพ แต่เมื่อกลับมายังเมืองที่เขาเคยอยู่ก็ต้องพบว่าตัวเองก็เป็นแค่อดีตเด็กบาร์กดน้ำที่ทำงานให้ตายยังไงก็ได้แค่เดือนละ 120 เหรียญ และคุณสมบัติต่าง ๆ ในสงครามของเขามันไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตปกติได้เลย
.
คนต่อมาเป็นทหารผ่านศึกยศแค่สิบเอก ในกองทัพเขาอาจจะเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยแต่เมื่อหมดภาระทางทหารแล้วเขาคือนายธนาคารที่กำลังจะได้เลื่อนขั้น กลับมามีความเป็นอยู่สุขสบาย มีครอบครัวอบอุ่นในแบบที่ชาวอเมริกันใฝ่ฝัน ปัญหาเดียวของเขาคือความเห็นอกเห็นใจทหารผ่านศึกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจปล่อยสินเชื่อ โดยเขาเลือกจะเสี่ยงกับความมุ่งมั่นด้วยความเชื่อส่วนตัวมากกว่าจะยึดถือกฎระเบียบและหลักการปล่อยเงินกู้
.
และคนสุดท้ายทหารผ่านศึกซึ่งพิการแขนทั้งสองข้าง(นักแสดงพิการจริง) การกลับมาอยู่บ้านของเขาทำให้ต้องเผชิญกับความสงสารจากคนรอบข้าง ซึ่งเขาต้องการให้ทุกคนปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนปกติ นอกจากนี้ยังมีคู่หมั้นที่เขาพยายามสลัดเธอทิ้งเพราะไม่อยากให้เธอต้องมาลำบากในการดูแลคนพิการอย่างเขา ก็เป็นอีกหนึ่งหนังที่พูดถึงโลกของทหารหลังสงคราม
.
นอกนั้นในช่วงยุค 40's ก็มีหนังเกี่ยวพันกับนาซีที่น่าสนใจเช่น Night Train to Munich (1940) เล่าเรื่องสายลับอังกฤษปลอมตัวเป็นนายพลนาซีวางแผนช่วยเหลือนักประดิษฐ์อาวุธและลูกสาวที่ถูกลักพาตัวหลบหนีออกจากเยอรมัน ซึ่งหนังเต็มไปด้วยฉากจับผิดหาคนต่อต้านนาซีอารมณ์แบบ Inglourious Basterds มันจะมีฉากแบบผิวปากเป็นโทนเสียงดนตรีอังกฤษ แล้วถูกบริกรจับได้เพราะเพิ่งฟังวิทยุต่างชาติมา พระเอกของเราก็รีบโมโหเลี่ยงพิรุธใส่อีกฝ่ายว่าการแอบฟังวิทยุต่างชาติเป็นความผิด ทำให้บริกรเป็นฝ่ายเดินหน้าจ๋อยออกไปเพราะโดนจับได้ว่าฟังสื่อต่างชาติ
.
อีกเรื่องที่โด่งดังมาก ๆ ก็ Casablanca (1942) ภายใต้ความเป็นหนังโรแมนติกในสงครามสุดประทับใจของชาวอเมริกันที่อดีตเคยเป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ที่กลายมาเป็นเจ้าของไนท์คลับที่โด่งดังที่สุดในคาซาบลังก้า มันยังแฝงการต่อต้านนาซีอย่างชัดเจน โดยใช้ตัวกลางเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมัน แน่นอนว่าหนังมีนัยยะทางการเมืองเพราะถูกสร้างหลังเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นนำเครื่องบินรบถล่ม Pearl Harbor เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1941 ทีมอ่านบทของ Warner Bros. จึงรีบผลักดันให้มันถูกทำเป็นหนังด้วยเหตุผลว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ที่จะทำหนังเพื่อปลุกสำนึกความรักแผ่นดิน แต่มันก็เป็นหนังปลุกสำนึกที่คุณภาพยอดเยี่ยมตลอดกาล
.
ในยุคนั้นยังมีหนังเกี่ยวพันกับสงครามขึ้นหิ้งของฮิตช์ค็อกคือ Lifeboat (1944) เล่าเรื่องผู้โดยสารบนเรือชูชีพ โดยหนึ่งในนั้นคือกัปตันเรือนาซี เป็นหนังวิพากษ์มนุษยธรรมที่โจมตีนาซีอย่างชัดเจน ซึ่งถ้าใครเคยดู Foreign Correspondent (1940) หนังสายลับของฮิตช์ค็อกก็น่าจะไม่แปลกใจจุดยืนทางการเมืองต่อสงครามของเขา พล็อตว่าด้วยช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มขึ้น บก.ของนสพ. New York Globe เริ่มกังวลถึงอิทธิพลของพรรคนาซีและฮิตเลอร์ จึงส่งนักข่าวภาคสนามเดินทางไปหาข่าวในยุโรปว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งตอนนั้นอเมริกายังไม่ได้เข้าร่วมสงคราม ส่วนฮิตช์ค็อกก็เพิ่งย้ายจากอังกฤษมาอเมริกา แต่มีฉากถามหาความช่วยเหลือจากกองทัพอากาศอเมริกาด้วย ฉากจบเป็นปราศรัยของพระเอกที่เป็นนักข่าวออกอากาศจากอังกฤษถึงประชาชนในอเมริกา
.
อารมณ์คล้าย The Great Dictator (1940) ของชาร์ลีย์ แชปลิน หนังแสดงจุดยืนต่อต้านสงครามและการกระทำของฮิตเลอร์ต่อชาวยิวในยุโรป ซึ่งตอนท้ายหนังมีสปีชเรียกร้องสันติภาพให้เกิดขึ้น หลายข้อความเป็นคำพูดที่ดีมาก เช่นการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องบินหรือวิทยุไม่ใช่เพื่อสำหรับเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกัน โลกนี้ยังมีที่ว่างและอาหารพอสำหรับทุกคน เรียกร้องให้ทหารเลิกเป็นทาสผู้นำแต่ให้ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ
.
ช่วงยุค 50's หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเกิน 5 ปี ยังมีหนังสงครามที่น่าสนใจอยู่พอสมควร หนึ่งในนั้นคือ Paths of Glory (1957) ของสแตนลีย์ คูบริค ความยอดเยี่ยมของหนังอยู่ที่การกะเทาะเปลือกทหารระดับสูง นั่นคือฝรั่งเศสไม่สามารถบุกข้ามแนวรั้วลวดหนามของเยอรมันไปได้ ทหารกองหนุนไม่ออกจากหลุมเพลาะ บางส่วนวิ่นหนีกลับมา ทำให้นายพลโกรธมากถึงขนาดสั่งผู้บังคับการปืนใหญ่ให้ยิงหลุมเพลาะฝั่งตัวเอง สุดท้ายก็มีการเจรจาเพื่อจะประหารชีวิตให้เป็นเยี่ยงอย่าง โดยให้นายกองทั้งสามกอง เลือกตัวแทนมากองละหนึ่งคนเพื่อประหารชีวิตในข้อหาแสดงความขลาดต่อศัตรู คนหนึ่งถูกเลือกเพราะรู้ความลับนายกอง คนหนึ่งได้รับเหรียญกล้าหาญสองเหรียญจากการรบครั้งก่อน ๆ แต่จับสลากถูกเลือกเป็นตัวแทนกอง และอีกคนถูกเลือกเพียงเพราะท่าทางเข้ากับสังคมได้ยาก ทั้งสามคนจะต้องขึ้นให้การในศาลทหารโดยมีผู้การของเขาเป็นทนายต่อสู้
.
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ Stalag 17 (1953) เป็นหนังที่ถูกนับว่าเกี่ยวกับค่ายเชลยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องแรก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่ฉายวงกว้าง ผลงานกำกับโดย บิลลี่ ไวล์เดอร์ เปรี้ยวขนาดว่าทำหนังในค่ายเชลยออกมาเป็นคอมเมดี้ (ค่ายเชลยสงครามจะไม่เหมือนค่ายกักกันนะ) หนังมันเล่าถึงเชลยสงคราม 2 คนแหกคุกหนีออกไปไม่ทันพ้นค่ายก็ถูกทหารเยอรมันดักรอยิงเสียชีวิต ทำให้คนในค่ายพักเกิดความสงสัยว่าต้องมีหนอนบ่อนไส้ปนอยู่ด้วยแน่ ๆ ครึ่งเรื่องหาหนอน ครึ่งหลังเจอหนอนปุ๊บหาทางเอาคืน เรื่องนี้ในทางประวัติศาสตร์หนังก็ถือว่ามีความสำคัญอยู่มากทีเดียว
.
นอกนั้นก็มี The Bridge on the River Kwai (1957) ของเดวิด ลีน ว่าด้วยผู้บัญชาการทหารฝั่งอังกฤษตกเป็นเชลยสงครามของฝั่งญี่ปุ่น ถูกจับมาเป็นแรงงานสร้างสะพานในค่ายของผู้การญี่ปุ่น กับอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ The African Queen (1951) ที่เอาสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นพื้นหลังให้หนังผจญภัยล่องแม่น้ำในทวีปแอฟริกา ถ่ายทำที่ทวีปแอฟริกาจริง ๆ เรื่องนี้ระหว่างล่องเรือก็ต้องเจอทั้งอุปสรรคทางธรรมชาติ เช่น ดงต้นกกที่ต้องถางทางลากเรือฝ่าดง, น้ำตกน้ำเชี่ยว ไหนจะยังต้องเจอพวกเยอรมันระหว่างทางอีก สนุกและดีมาก อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ From Here to Eternity (1953) หนังชนะ 8 รางวัลออสการ์ บอกเล่าเรื่องราวของทหารในกองทัพแห่งหนึ่งบนเกาะฮาวายก่อนถูกญี่ปุ่นโจมตี คือทั้งเรื่องมันพูดถึงความรักความขัดแย้ง แล้วฉากตอนท้ายมาปิดด้วยเครื่องบินญี่ปุ่นบินถล่มกองทัพอเมริกา แต่ก็มีฉากแนว ๆ รวมใจสู้ปลุกความฮึกเหิม ซึ่งถ้ามองตามปีที่สร้างก็ไม่ได้จำเป็นเท่าไร
-------
เดี๋ยวลงพาร์ท 2 ต่อนะครับ
dictator rome 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最讚貼文
-\-\ หนังสงครามก่อน 1917 เขาเล่าเรื่องอะไรกันมาบ้าง (PART 1) -\-\
ยังคงคิดว่า 1917 เป็นหนังที่เจ๋งมาก ๆ อยู่ดี สำหรับการทำหนังสงครามเปลี่ยนฟอร์มมาทดลองเล่าเชิงภารกิจเพื่อโชว์ความมหัศจรรย์ของการดูหนังในโรงยุคปัจจุบัน แต่วันนี้จะขอพาย้อนไปดูประวัติศาสตร์หนังสงครามที่ประสบความสำเร็จในอดีตนั้นพูดถึงอะไรกันมาบ้าง
ในยุคหนึ่งที่หนังสงครามจะต้องมีประเด็นสักอย่างให้จับต้องได้แน่น ๆ อย่างเช่น All Quiet on the Western Front (1930) ถ้ามองในปีที่สร้างมันเจ๋งมาก เพราะสมัยนั้นคนมีอิทธิพล อย่างเช่นอาจารย์หรือสื่อไม่กี่ช่องทางที่ถูกควบคุมล้วนโฆษณาชวนเชื่อให้สมัครเป็นทหาร ได้ออกรบจะดีอย่างนู้นอย่างนี้ แต่หนังก็พาไปดูว่าสงครามไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดแล้วมันก็ค่อย ๆ ทำลายตัวเรา ในยุคที่หนังต่อต้านสงครามยังไม่มากการได้เห็นเรื่องนี้ชนะรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
.
หรือพอช่วงยุค 40's จุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 มันก็เริ่มมีหนังที่สร้างมาอ้างอิงสงครามโลก ที่ได้รับการยกย่องภายหลัง เช่น Rome, Open City (1945) เป็นหนังอิตาลี่เล่าเรื่องชีวิตของกลุ่มใต้ดินที่ต่อต้านนาซี ซึ่งอิตาลี่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นพันธมิตรกับนาซี ดังนั้นกรุงโรมจึงถูกจัดว่าเป็น เมืองเปิด ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทิ้งระเบิดหรือถูกนาซีฆ่า เพียงแต่พวกเขาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารนาซีที่ประกาศเคอร์ฟิว, อาหารก็มีการแบ่งปันส่วน แล้วพวกนาซีเขาก็จะคอยสอดส่องหากลุ่มชาวอิตาเลี่ยนที่ต่อต้านนาซีด้วย ซึ่งหนังมันก็ทำออกมายกย่องเชิดชูการต่อสู้ใต้ดินของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจการตกอยู่ใต้อำนาจของชนชาติอื่นบนแผ่นดินตัวเอง
.
ในปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝั่งอเมริกันยังมีหนังดีมาก ๆ อีกเรื่องคือ The Best Years of Our Lives (1946) ชนะ 7 รางวัลออสการ์ รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หนังเล่าถึงชีวิตทหารผ่านศึก 3 คนที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตในสังคมอเมริกัน ซึ่งพวกเขาพบว่าตัวเองต้องปรับตัวอย่างมาก คนแรกเป็นทหารผ่านศึกยศผู้กอง ได้รับคำชมเชยถึงความกล้าหาญในสงคราม เขาเคยมีรายได้เดือนละ 400 เหรียญจากการทำหน้าที่รับใช้กองทัพ แต่เมื่อกลับมายังเมืองที่เขาเคยอยู่ก็ต้องพบว่าตัวเองก็เป็นแค่อดีตเด็กบาร์กดน้ำที่ทำงานให้ตายยังไงก็ได้แค่เดือนละ 120 เหรียญ และคุณสมบัติต่าง ๆ ในสงครามของเขามันไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตปกติได้เลย
.
คนต่อมาเป็นทหารผ่านศึกยศแค่สิบเอก ในกองทัพเขาอาจจะเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยแต่เมื่อหมดภาระทางทหารแล้วเขาคือนายธนาคารที่กำลังจะได้เลื่อนขั้น กลับมามีความเป็นอยู่สุขสบาย มีครอบครัวอบอุ่นในแบบที่ชาวอเมริกันใฝ่ฝัน ปัญหาเดียวของเขาคือความเห็นอกเห็นใจทหารผ่านศึกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจปล่อยสินเชื่อ โดยเขาเลือกจะเสี่ยงกับความมุ่งมั่นด้วยความเชื่อส่วนตัวมากกว่าจะยึดถือกฎระเบียบและหลักการปล่อยเงินกู้
.
และคนสุดท้ายทหารผ่านศึกซึ่งพิการแขนทั้งสองข้าง(นักแสดงพิการจริง) การกลับมาอยู่บ้านของเขาทำให้ต้องเผชิญกับความสงสารจากคนรอบข้าง ซึ่งเขาต้องการให้ทุกคนปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนปกติ นอกจากนี้ยังมีคู่หมั้นที่เขาพยายามสลัดเธอทิ้งเพราะไม่อยากให้เธอต้องมาลำบากในการดูแลคนพิการอย่างเขา ก็เป็นอีกหนึ่งหนังที่พูดถึงโลกของทหารหลังสงคราม
.
นอกนั้นในช่วงยุค 40's ก็มีหนังเกี่ยวพันกับนาซีที่น่าสนใจเช่น Night Train to Munich (1940) เล่าเรื่องสายลับอังกฤษปลอมตัวเป็นนายพลนาซีวางแผนช่วยเหลือนักประดิษฐ์อาวุธและลูกสาวที่ถูกลักพาตัวหลบหนีออกจากเยอรมัน ซึ่งหนังเต็มไปด้วยฉากจับผิดหาคนต่อต้านนาซีอารมณ์แบบ Inglourious Basterds มันจะมีฉากแบบผิวปากเป็นโทนเสียงดนตรีอังกฤษ แล้วถูกบริกรจับได้เพราะเพิ่งฟังวิทยุต่างชาติมา พระเอกของเราก็รีบโมโหเลี่ยงพิรุธใส่อีกฝ่ายว่าการแอบฟังวิทยุต่างชาติเป็นความผิด ทำให้บริกรเป็นฝ่ายเดินหน้าจ๋อยออกไปเพราะโดนจับได้ว่าฟังสื่อต่างชาติ
.
อีกเรื่องที่โด่งดังมาก ๆ ก็ Casablanca (1942) ภายใต้ความเป็นหนังโรแมนติกในสงครามสุดประทับใจของชาวอเมริกันที่อดีตเคยเป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ที่กลายมาเป็นเจ้าของไนท์คลับที่โด่งดังที่สุดในคาซาบลังก้า มันยังแฝงการต่อต้านนาซีอย่างชัดเจน โดยใช้ตัวกลางเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมัน แน่นอนว่าหนังมีนัยยะทางการเมืองเพราะถูกสร้างหลังเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นนำเครื่องบินรบถล่ม Pearl Harbor เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1941 ทีมอ่านบทของ Warner Bros. จึงรีบผลักดันให้มันถูกทำเป็นหนังด้วยเหตุผลว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ที่จะทำหนังเพื่อปลุกสำนึกความรักแผ่นดิน แต่มันก็เป็นหนังปลุกสำนึกที่คุณภาพยอดเยี่ยมตลอดกาล
.
ในยุคนั้นยังมีหนังเกี่ยวพันกับสงครามขึ้นหิ้งของฮิตช์ค็อกคือ Lifeboat (1944) เล่าเรื่องผู้โดยสารบนเรือชูชีพ โดยหนึ่งในนั้นคือกัปตันเรือนาซี เป็นหนังวิพากษ์มนุษยธรรมที่โจมตีนาซีอย่างชัดเจน ซึ่งถ้าใครเคยดู Foreign Correspondent (1940) หนังสายลับของฮิตช์ค็อกก็น่าจะไม่แปลกใจจุดยืนทางการเมืองต่อสงครามของเขา พล็อตว่าด้วยช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มขึ้น บก.ของนสพ. New York Globe เริ่มกังวลถึงอิทธิพลของพรรคนาซีและฮิตเลอร์ จึงส่งนักข่าวภาคสนามเดินทางไปหาข่าวในยุโรปว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งตอนนั้นอเมริกายังไม่ได้เข้าร่วมสงคราม ส่วนฮิตช์ค็อกก็เพิ่งย้ายจากอังกฤษมาอเมริกา แต่มีฉากถามหาความช่วยเหลือจากกองทัพอากาศอเมริกาด้วย ฉากจบเป็นปราศรัยของพระเอกที่เป็นนักข่าวออกอากาศจากอังกฤษถึงประชาชนในอเมริกา
.
อารมณ์คล้าย The Great Dictator (1940) ของชาร์ลีย์ แชปลิน หนังแสดงจุดยืนต่อต้านสงครามและการกระทำของฮิตเลอร์ต่อชาวยิวในยุโรป ซึ่งตอนท้ายหนังมีสปีชเรียกร้องสันติภาพให้เกิดขึ้น หลายข้อความเป็นคำพูดที่ดีมาก เช่นการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องบินหรือวิทยุไม่ใช่เพื่อสำหรับเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกัน โลกนี้ยังมีที่ว่างและอาหารพอสำหรับทุกคน เรียกร้องให้ทหารเลิกเป็นทาสผู้นำแต่ให้ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ
.
ช่วงยุค 50's หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเกิน 5 ปี ยังมีหนังสงครามที่น่าสนใจอยู่พอสมควร หนึ่งในนั้นคือ Paths of Glory (1957) ของสแตนลีย์ คูบริค ความยอดเยี่ยมของหนังอยู่ที่การกะเทาะเปลือกทหารระดับสูง นั่นคือฝรั่งเศสไม่สามารถบุกข้ามแนวรั้วลวดหนามของเยอรมันไปได้ ทหารกองหนุนไม่ออกจากหลุมเพลาะ บางส่วนวิ่นหนีกลับมา ทำให้นายพลโกรธมากถึงขนาดสั่งผู้บังคับการปืนใหญ่ให้ยิงหลุมเพลาะฝั่งตัวเอง สุดท้ายก็มีการเจรจาเพื่อจะประหารชีวิตให้เป็นเยี่ยงอย่าง โดยให้นายกองทั้งสามกอง เลือกตัวแทนมากองละหนึ่งคนเพื่อประหารชีวิตในข้อหาแสดงความขลาดต่อศัตรู คนหนึ่งถูกเลือกเพราะรู้ความลับนายกอง คนหนึ่งได้รับเหรียญกล้าหาญสองเหรียญจากการรบครั้งก่อน ๆ แต่จับสลากถูกเลือกเป็นตัวแทนกอง และอีกคนถูกเลือกเพียงเพราะท่าทางเข้ากับสังคมได้ยาก ทั้งสามคนจะต้องขึ้นให้การในศาลทหารโดยมีผู้การของเขาเป็นทนายต่อสู้
.
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ Stalag 17 (1953) เป็นหนังที่ถูกนับว่าเกี่ยวกับค่ายเชลยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องแรก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่ฉายวงกว้าง ผลงานกำกับโดย บิลลี่ ไวล์เดอร์ เปรี้ยวขนาดว่าทำหนังในค่ายเชลยออกมาเป็นคอมเมดี้ (ค่ายเชลยสงครามจะไม่เหมือนค่ายกักกันนะ) หนังมันเล่าถึงเชลยสงคราม 2 คนแหกคุกหนีออกไปไม่ทันพ้นค่ายก็ถูกทหารเยอรมันดักรอยิงเสียชีวิต ทำให้คนในค่ายพักเกิดความสงสัยว่าต้องมีหนอนบ่อนไส้ปนอยู่ด้วยแน่ ๆ ครึ่งเรื่องหาหนอน ครึ่งหลังเจอหนอนปุ๊บหาทางเอาคืน เรื่องนี้ในทางประวัติศาสตร์หนังก็ถือว่ามีความสำคัญอยู่มากทีเดียว
.
นอกนั้นก็มี The Bridge on the River Kwai (1957) ของเดวิด ลีน ว่าด้วยผู้บัญชาการทหารฝั่งอังกฤษตกเป็นเชลยสงครามของฝั่งญี่ปุ่น ถูกจับมาเป็นแรงงานสร้างสะพานในค่ายของผู้การญี่ปุ่น กับอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ The African Queen (1951) ที่เอาสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นพื้นหลังให้หนังผจญภัยล่องแม่น้ำในทวีปแอฟริกา ถ่ายทำที่ทวีปแอฟริกาจริง ๆ เรื่องนี้ระหว่างล่องเรือก็ต้องเจอทั้งอุปสรรคทางธรรมชาติ เช่น ดงต้นกกที่ต้องถางทางลากเรือฝ่าดง, น้ำตกน้ำเชี่ยว ไหนจะยังต้องเจอพวกเยอรมันระหว่างทางอีก สนุกและดีมาก อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ From Here to Eternity (1953) หนังชนะ 8 รางวัลออสการ์ บอกเล่าเรื่องราวของทหารในกองทัพแห่งหนึ่งบนเกาะฮาวายก่อนถูกญี่ปุ่นโจมตี คือทั้งเรื่องมันพูดถึงความรักความขัดแย้ง แล้วฉากตอนท้ายมาปิดด้วยเครื่องบินญี่ปุ่นบินถล่มกองทัพอเมริกา แต่ก็มีฉากแนว ๆ รวมใจสู้ปลุกความฮึกเหิม ซึ่งถ้ามองตามปีที่สร้างก็ไม่ได้จำเป็นเท่าไร
-\-\-\-\-\-\-
เดี๋ยวลงพาร์ท 2 ต่อนะครับ
dictator rome 在 The Life of Sulla: Rome's first Dictator for Life - YouTube 的推薦與評價
... <看更多>