ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ PASSIVE INCOME
.
วันนี้มีเวลานั่งดูรายการในช่อง YouTube จับพลัดจับผลูเปิดไปเจอช่องรายการสอนรวยของกูรูธุรกิจและการลงทุน ตอนแรกว่าจะข้ามไป แต่เห็นเขาพูดถึง PASSIVE INCOME แถมยกหนังสือ Rich Dad Poor Dad (พ่อรวยสอนลูก) ที่ผมเป็นคนเรียบเรียงขึ้นมาอ้าง ก็เลยนั่งฟังดูสักหน่อย
.
เผลอแพร๊บเดียว นั่งดูไปตั้งหลายคนหลายตอน แต่บทสรุปที่ได้รับจากการดู ก็คือ ทุกคนพูดเรื่อง PASSIVE INCOME ดีเกินจริง ดีเกินไป เหมือนมีแล้วไม่ต้องทำอะไร ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย
.
วันนี้ผมเลยอยากหยิบยก 5 ความเข้าใจผิดๆ ที่พูดถึงกันบ่อยๆ เกี่ยวกับ Passive Income มาเล่าให้ฟังกันครับ
.
1) PASSIVE INCOME เป็นเรื่องง่ายๆ
.
ที่จริงประเด็นนี้ก็ใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมดหรอกนะครับ เพราะ PI ที่ทำได้ง่าย มันก็มีจริงๆ อย่างเช่น “เงินฝาก” แค่เอาเงินไปฝากธนาคาร เราก็ได้ “ดอกเบี้ย” เป็น Passive Income แล้ว เพียงแต่อาจต้องมีเงินฝากเป็นกอบเป็นกำจริงๆ ดอกเบี้ยถึงจะพอเลี้ยงตัวเราได้
.
แต่ถ้าเป็น Passive Income จากธุรกิจและการลงทุน ในรูป “ค่าเช่า” “เงินปันผล” หรือ “ค่าลิขสิทธิ์” เช่น เป็นเจ้าของกิจการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า การลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวม รวมไปถึงลิขสิทธิ์ในงานที่เราสร้างขึ้น อันนี้ต้องใช้ทักษะและความรู้เพิ่มขึ้นมาเยอะเลย ถึงจะมีรายได้จากทรัพย์สินได้
.
ทั้งนี้ไอ้ประเภท จ่ายเงินครั้งเดียว กินกำไรกันไปตลอด ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ และน่าจะเป็นการหลอกลวงเสียมากกว่า ยิ่งถ้าโฆษณาการันตีผลตอบแทนสูง ๆ อันนี้ยิ่งต้องระวังครับ
.
2) มี Passive Income แล้วเป็นเสือนอนกิน ไม่ต้องทำอะไร
.
ประเด็นนี้คิดว่าน่าจะเป็น Gimmick เอาไว้หลอกคนขี้เกียจอยากรวย อยู่เฉยๆ แล้วอยากได้เงิน ซึ่งก็ไม่่มีจริงหรอกครับ ผมเองมี Passive Income จากทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ดอกเบี้ย ค่าเช่า เงินปันผล และค่าลิขสิทธิ์ บอกได้เลยว่า ไม่ต้องทำอะไรแล้วจะได้รายได้ เป็นเรื่องไม่จริง
.
การมีทรัพย์สินที่สร้างรายได้ อาจช่วยผ่อนแรงให้คุณไม่ต้องทำงานทุกวัน และเลือกจัดสรรเวลาทำงานได้ แต่ไม่ทำงานเลย อันนี้คงไม่ใช่ ยกตัวอย่างเช่น
.
ถ้าคุณมีธุรกิจ: คุณอาจไม่ได้เข้าออฟฟิศทุกวัน เพราะมีลูกน้องคอยช่วยคุณทำงาน แต่คุณไม่ทำงานเลย ไม่บริหารจัดการ ไม่พบปะลูกค้า ไม่มีปัญหาอะไรให้คุณแก้เลย ก็คงจะไม่ใช่
.
ถ้าคุณมีบ้านเช่า: คุณก็ไม่ต้องทำงานทุกวัน สิ้นเดือนคอยเก็บค่าเช่าก็จริง แต่ระหว่างเดือนมีปัญหามาได้ตลอดนะ ไอ้โน่นเสีย ไอ้นี่พัง ผู้เช่ามีเรื่องทะเลาะกับบ้านข้างๆ วันดีคืนดีผู้เช่าย้ายออก ค่าเช่าหายแว๊บเลยนะ
.
ถ้าคุณมีลิขสิทธิ์: คุณก็ต้องคอยบริหารลิขสิทธิ์และผลประโยชน์ของตัวเอง มีเรื่องสู้กับคนละเมิดลิขสิทธิ์อยู่บ่อยๆ
.
ถ้าคุณมีหุ้น: คงไม่มีหุ้นที่ซื้อไว้ครั้งเดียวแล้วกินปันผลจนตายได้หรอกครับ เวลาเปลี่ยน ธุรกิจมีทั้งเติบโตล้มตาย พอร์ตหุ้นก็ต้องปรับ มีข้อมูลให้ต้องติดตามอยู่ตลอด
.
โดยสรุปการมี Passive Income ไม่ใช่ว่ามีแล้วจะมีไปตลอด มันก็มีเพิ่มมีลดตามความสามารถในการสร้างรายได้ของทรัพย์สินที่เราถือครอง ดังนั้นมันจะขาดการทำงานของเจ้าของทรัพย์สินไปไม่ได้หรอกครับ
.
เพียงแต่ว่าถ้าคุณมีทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสด มันจะเหมือนคุณมี “เครื่องผ่อนแรง” ให้คุณได้พักจากการทำงานแลกเงิน (Active Income) อยู่บ้าง ช่วยให้คุณจัดสรรเวลาในชีวิต มีอิสระทางเวลาที่มากขึ้นเท่านั้น
.
จะสังเกตผมใช้คำว่า “เครื่องผ่อนแรง” เพราะมันทำงานให้เราได้ มันก็หยุดเสียหยุดซ่อมได้ อะไรที่มีคำว่า “เครื่อง” นำหน้า มีลักษณะแบบนี้เหมือนกันหมดครับ
.
3) Passive Inome จะทำเงินให้เราไปตลอด
.
ประเด็นนี้ก็ไม่จริงนะครับ ไม่มีอะไรเป็นอมตะนิรันดร์กาลขนาดนั้นหรอก จำไว้ว่า ทรัพย์สินใดๆ ในโลกล้วน Dynamic มีขึ้น มีลง มีเติบโต มีตกต่ำ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งหมดทั้งปวง (สาธุ)
.
ธุรกิจที่เคยทำเงิน วันหนึ่งก็กลายเป็นธุรกิจที่ล่มสลายได้ (ลองนึกธุรกิจที่เราเห็นในตอนเป็นเด็ก แต่วันนี้ไม่อยู่แล้วดู)
บ้านเช่าที่เคยมีคนอยู่อาศัยไม่เคยขาด วันหนึ่งก็อาจร้าง ไม่มีผู้เช่าได้เหมือนกัน (ช่วงโควิดนี่ชัดเลย)
.
ลิขสิทธิ์เพลง หนังสือ ที่เคยได้รับความนิยม วันหนึ่งคนก็ลืม ไม่ซื้อ ไม่โหลด (วันนึงโค้ชหนุ่มหันหลังให้ยุทธจักร ก็คงไม่มีคนซื้อหนังสือโค้ชหนุ่มแล้ว 555)
.
หุ้นที่เคยปันผล วันหนึ่งกิจการไม่ดี ไม่ทำกำไร ก็คงไม่มีปันผล
.
ไม่มีอะไรทำครั้งเดียวแล้วสบายไปตลอดชาติหรอกครับ ทุกอย่างมันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเสมอ ดังนั้นอย่าเผลอติดกับดักหลอกลวงแบบนี้ การรู้เท่าทันในทรัพย์สินที่เราลงทุน ความรู้ทางการเงินต่างหาก ความพร้อมในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง คือ สิ่งที่จะช่วยให้เรามั่งคั่งและมั่นคงได้จริง
.
4) PASSIVE INCOME ดีกว่า ACTIVE INCOME
.
ได้ยินการพูดถึง Passive Income ที่ไหน ก็มักจะมีการหยิกกัดรายได้จากการทำงาน หรือ Active Income เสียทุกครั้งไป พาลกันไปว่าการเป็นพนักงานประจำนั้นไม่ดี เงินเดือนมีเพดาน ไม่ทำหรือหยุดทำก็ไม่มีรายได้
.
โดยส่วนตัวผมมองว่า รายได้จากการทำงานไม่ใช่สิ่งเลวร้าย และหลายคนก็ใช้มันเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรายได้จากทรัพย์สิน ด้วยการเก็บออม แล้วก็นำเงินไปลงทุนต่อยอด และจากเหตุผลในข้อ 3 ที่ว่า ไม่มีรายได้ช่องทางใดที่เป็นอมตะนิรันดร์กาล Passive Income ที่เรามี อยู่ดีๆ ก็อาจวูบหายไปเลยก็เป็นได้
.
ทางที่ดีผมว่าเราควรมีแหล่งรายได้จากหลายช่องทาง หรือ Multi-Income Stream คือ มีทั้งรายได้จากทรัพย์สินคอยช่วยผ่อนแรง ไม่ให้เราต้องเหนื่อยไปตลอด และมีรายได้จากการทำงาน คอยเติม คอยสะสมต่อยอดความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้น่าจะดีกว่า
.
นอกจากนี้ สิ่งที่ผมอยากจะบอกจากใจของคนที่มี Passive Income พอเลี้ยงตัวแล้วก็คือ ผมเองยังรักและชอบรายได้จากการทำงาน หรือ Active Income อยู่นะ เพราะแม้มันจะต้องทำงานถึงได้เงิน ต้องเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ผมรู้สึกว่าการทำงานมันทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า และได้รับความรู้สึกดีๆ ที่ได้ทำงาน ยิ่งถ้าได้ทำงานที่รัก ที่เราชอบ และเลือกทำมันด้วยตัวเองแล้วละก็ ยิ่งแจ่มกันไปใหญ่ ส่วน Passive Income ผมชอบที่มันช่วยผ่อนแรง ช่วยลดความกังวลทางการเงิน ทำให้เรามีเวลามากขึ้น และมีทางเลือกที่มากขึ้น
.
สรุปเลยดีกว่าไอ้โค้ช ชอบอะไรมากกว่าระหว่าง Active กับ Passive Income
คำตอบคือ “ทำอะไรที่สนุกแล้วได้ตังค์ กูเอาหมดครับ” 555
.
5) ต้องมี Passive Income ถึงจะมีอิสรภาพการเงิน
.
ถ้ายึดเอาตามนิยามหนังสือพ่อรวยสอนลูก ที่ว่าคนเราจะมีอิสรภาพการเงินได้ ก็ต่อเมื่อมีรายได้จากทรัพย์สินมากกว่ารายจ่ายรวม อิสรภาพทางการเงินแบบนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับ Passive Income แต่ถ้าเรามองว่า อิสรภาพทางการเงินนั้น แก่นของมันคือ อิสระทางเวลา และการเบาบางความกังวลทางการเงิน ก็อาจไม่จำเป็นที่จะต้องมี Passive Income เยอะแยะมากมาย
.
ตัวผมเองตอนเริ่มต้นไม่ได้ตั้งโจทย์ว่าต้องมีรายได้จากทรัพย์สินดูแลตัวเองไปได้ตลอดชีวิต เพราะคิดว่าชีวิตคนเรามันเปลีี่ยนตลอด โจทย์มันถูกปรับตลอดตามเวลาและสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ตอนนั้นเลยคิดโจทย์ง่ายๆ ว่า จะเก็บสะสมเงินให้พอใช้ได้ 5 ปี ให้ได้เร็วที่สุด
.
ลองนึกภาพว่า ถ้า 5 ปีต่อจากนี้ ไม่มีเงินรายได้เลยแม้แต่บาทเดียว เป็นเวลา 1,825 วัน แต่คุณมีเงินพอใช้จ่ายได้ทุกวัน ไม่เดือดร้อน มันทำให้คุณรู้สึก 1) มีอิสระทางเวลาขึ้นนิดนึงหรือเปล่า และ 2) มันเบาบางความกังวลทางการเงินของคุณไปได้บ้างมั้ย
.
ถ้าใช่! ในมุมมองผมนี่ก็เป็น “อิสรภาพทางการเงินเล็กๆ” แล้วเหมือนกันนะครับ ตัวผมเองตอนเก็บเงินพอใช้ 5 ปี มีหยุดพักเที่ยวอยู่ช่วงใหญ่ๆ เลย ประมาณว่าอยากซึมซับอิสระทางเวลาสักหน่อย ตอนแรกกะว่าจะพักผ่อนเต็มๆ 1 ปี สุดท้ายผ่านไปได้ 3 เดือน ก็เหมือนได้พักเต็มที่ คราวนี้กลับมาจัดหนักกว่าเดิม ขยับสู่ความสำเร็จทางการเงินที่เติบโตมากขึ้นได้อีก
.
นี่คือ 5 ประเด็นที่ผมอยากจะเคลียร์และอธิบายให้ฟังเกี่ยวกับ Passive Income หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับคนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว และสร้างชีวิตกันทุกคนนะครับ
.
สุดท้ายแล้วการมีรายได้จากทรัพย์สิน ก็ดีกว่าไม่มีแหละครับ แต่การมีความคิดความเข้าใจที่ผิด จะทำให้เราเสียเวลาและไปสู่ความสำเร็จทางการเงินได้ช้า ยังไงก็ลองนำข้อคิดในวันนี้ไปปรับใช้กันดูนะครับ
.
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากมีอิสรภาพการเงินครับ
.
#โค้ชหนุ่ม #TheMoneyCoachTH
同時也有29部Youtube影片,追蹤數超過63萬的網紅DroidSans,也在其Youtube影片中提到,อัปเดตวงการไอทีรอบโลก #หิวข่าว ep.83 ประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 : อัปเดตข่าวสารฝั่งไอที ประจำสัปดาห์กับดรอยด์แซนส์ ที่เก่า เวลาเดิม เล่าให้ฟังครบ...
dynamic คือ 在 BorntoDev Facebook 的精選貼文
🔥 จัดสรร IP Addresses บนระบบ Network ยังไงดีให้ไม่งง ?!
.
ต้องนี่เจอนี่ 👉 DHCP หนึ่งในโปรโตคอลสำคัญในระบบ Network ที่จะช่วยให้การจัดสรร IP เป็นเรื่องกล้วย ๆ 🍌 แล้ว DHCP มันคืออะไร มีรายละเอียดยังไง วันนี้แอดสรุปสั้น ๆ มาให้แล้ว ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันโลดดดด !!
.
🌟 DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) คือ เครื่องมือการจัดการเครือข่ายที่ทำงานร่วมกันกับ TCP และ IP ที่ใช้เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
.
⚡ หน้าที่หลัก คือ การจัดการและกำหนดค่า IP Addresses แบบอัตโนมัติบนเครือข่าย
.
ดังนั้น IP Addresses ของแต่ละคนก็ไม่จำเป็นต้องได้รับการกำหนดด้วย Admin
.
และยังสามารถนำไปใช้ตรวจสอบ Default Gateway, DNS และ Subnet Masks สำหรับอุปกรณ์ที่มีการตั้งค่าเพื่อการใช้งานในระบบเครือข่ายได้อีกด้วย
.
🌈 ซึ่งโดยส่วนมากแล้วใน Internet Router ที่เราใช้งานกันตามบ้าน มักจะมี DHCP มาให้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ อาจจะใช้ Computer หรือ Server ทำหน้าที่เป็น DHCP server โดยเฉพาะนั่นเอง !!
จบกันไปแล้วกับสรุปสั้น ๆ กับเรื่องของ DHCP หวังว่าจะชอบกันนะ ❤️
.
borntoDev - 🦖 สร้างการเรียนรู้ที่ดีสำหรับสายไอทีในทุกวัน
#network #DHCP #BorntoDev
dynamic คือ 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的精選貼文
เวลาเกิดเหตุภัยพิบัติต่างๆ ขึ้น สิ่งหนึ่งที่สังคมไทยเรามักจะขาด คือการนำเอาเหตุการณ์นั้น มาศึกษาวิเคราะห์ดูสาเหตุปัจจัยผลกระทบ เพื่อเป็นแนวทางในการรับมือสำหรับเหตุการณ์พิบัติครั้งต่อๆ ไป
ดังเช่น ที่เพิ่งเกิดเหตุโรงงานสารเคมีระเบิด ที่สมุทรปราการ ไปเมื่อเดือนก่อนนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นหน้างานก็คือ ทิศทางของลมที่บรรดาควันพิษจะลอยไปนั้น จะไปทางทิศทางใดกันแน่
งานวิจัยดังที่อยู่ในรายงานข่าวนี้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ที่ทำให้เราเข้าใจถึงแนวทางการประเมินทิศทาง ของผลกระทบจากมลพิษสารเคมีทางอากาศที่เกิดขึ้น ถ้ามีเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้ง ในอนาคตครับ
-------
(รายงานข่าว)
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม รศ.ดร.เกษมสันต์ มโนมัยพิบูลย์ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิเคราะห์ทางเลือกระบบจำลองคาดการณ์มลพิษอากาศในภาวะฉุกเฉิน: กรณีไฟไหม้โรงงานสารเคมีย่านกิ่งแก้ว ระบุว่า
เหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานสารเคมีย่านกิ่งแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการที่ผ่านมาได้กระทบต่อประชาชนจำนวนมากที่อาศัยทำงานอยู่ในพื้นที่ใกล้โรงงานทั้งนี้ทางภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย และนักวิชาการก็ได้ตระหนักและเห็นความสำคัญร่วมกันต่อปัญหาดังกล่าวเหตุการณ์
เริ่มจากการระเบิดของสารเคมีที่เก็บในโรงงานประมาณ 3 นาฬิกาของวันที่ 5 กรกฏาคม 2564 ต่อมาเกิดไฟลุกโชนในโรงงานอย่างรุนแรงต่อเนื่องมีควันดำขนาดใหญ่พวยพุ่งลอยขึ้นสูงในบรรยากาศและถูกพัดพาไปไกลโดยลม ไฟเริ่มซาและถูกควบคุมได้ในช่วงค่ำและเช้าของอีกวันต่อมา ที่ตั้งของโรงงาน ณ ปัจจุบัน ก็มีชุมชนที่พักอาศัย วัด โรงพยาบาล โรงเรียน และโรงงานอื่นอยู่โดยรอบซึ่งเป็นผลของการขยายตัวของเมืองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความจำเป็นที่ควรมีระบบหรือเทคโนโยลีจำลองมลพิษอากาศที่เหมาะสมเพื่อรองรับกรณีไฟไหม้รุนแรงหรือสถานการณ์ฉุกเฉินโดยสามารถคาดการณ์ความรุนแรงล่วงหน้าและใช้ประเมินกำหนดมาตรการแก้ไขลดผลกระทบได้ หากพิจารณาลักษณะรูปแบบของไฟไหม้โรงงานย่านกิ่งแก้วและพฤติกรรมของของควันตามหลักวิชาการที่เกี่ยวข้อง ก็สามารถใช้เป็นแนวทางเพื่อกำหนดคุณสมบัติของระบบจำลองที่พึงมีได้โดยผมขออธิบายและสรุปไว้ข้างล่างนี้สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือสนใจ
#ข้อที่1: พฤติกรรมของการลอยตัวของควัน
การสันดาปหรือเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิตโฟมของโรงงานดังกล่าว(ในที่นี้ สไตรีนโมโนเมอร์และสารเคมีกลุ่มเบนซีน) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ระเหยและติดไฟง่าย ก่อให้เกิดควันซึ่งประกอบด้วยเขม่าดำ ฝุ่น ก๊าชต่างๆ ปะปนกับก๊าซระเหยของสารเคมีตั้งต้นรวมทั้งไอน้ำปนอยู่ (แต่ไม่มากเท่าการเผาไหม้ที่สมบูรณ์)การยกตัวของควันนั้นเกิดจากแรงลอยตัวเพราะอุณหภูมิของควันมีค่าสูงทำให้มีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศที่อยู่โดยรอบ เมื่อควันลอยขึ้น (Plume Rise) (รูปที่ 1) ก็จะขยายตัวใหญ่ขึ้นผ่านกระบวนการฟิสิกส์ 2 อย่าง คือ
#กฏอะเดียแบติก (Adiabatic)เพราะความดันอากาศลดลงตามความสูงของควันลอยขึ้นปริมาตรของควันจะเพิ่มและควันก็เย็นตัวลงพร้อมกัน
#ความปั่นป่วนและการดึงอากาศเข้า (Turbulence & Entrainment) เนื่องด้วยสภาพภายในของควันร้อนมาก อากาศภายในควันจึงมีสภาพปั่นปั่วนและเมื่อควันลอยตัวอย่างรวดเร็ว สภาพปั่นป่วนก็จะดึงมวลอากาศเย็นที่อยู่รอบๆ เข้ามาทำให้ควันขยายตัวเพิ่มเร็วขึ้น
#ข้อที่2: ระดับการลอยตัวและการเบ้เอียงของแนวควัน
ความสูงสุทธิที่ควันจะลอยขึ้นมีความสำคัญ หลังจากนั้น ควันก็ถูกพัดพาและแพร่กระจายต่อไป หากควันลอยสูงเป็นแนวดิ่งก็จะกระทบต่อพื้นที่ใกล้จุดเกิดเหตุไม่มาก แต่หากลมใกล้ผิวพื้นพัดแรงก็จะทำให้ควันที่ลอยอยู่เบ้เอียงลู่ตามลมและเกิดแรงเฉือน (Wind Shear) เหนี่ยวนำการแพร่กระจายของควันสู่ลงผิวพื้นได้ (รูปที่ 1 กลาง)โดยปกติแล้ว ควันจะหยุดลอย ณ ความสูงที่บรรยากาศมีความเสถียร (Stable) (ในที่นี้ อากาศโดยรอบเท่ากับหรืออุ่นกว่าในควันทำให้ไม่มีแรงลอยตัว) ควันจากไฟไหม้ที่รุนแรงสามารถยกตัวลอยทะลุผ่านชั้นบรรยากาศผกผันที่เสถียรใกล้ผิวพื้น (Low-Level Inversion Layer) ซึ่งปกติเกิดขึ้นไม่ห่างจากผิวพื้น (เช่น50-500 ม.)ตอนกลางคืนและช่วงเช้า-สายของวันใหม่ (รูปที่ 1 ขวา) อย่างที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อควันลอยขึ้นตัวก็จะเย็นลง ไอน้ำในควันจะควบแน่นเป็นละอองน้ำได้ง่าย ซึ่งช่วยให้เราสังเกตุควันได้ง่ายขึ้นแม้ว่าควันจะลอยสูงหรือถูกพัดพาไปไกลแล้ว ควันจากไฟไหม้ที่รุนแรงสามารถลอยสูงถึงฐานเมฆหากมีแรงลอยตัวเพียงพอหรืออยู่ภายใต้สภาพบรรยากาศที่ไม่เสถียรช
#ข้อที่3: การพัดพาและแพร่กระจาย
แม้ว่าลมพัดพาควันให้ลอยไปในแนวราบ แต่ความปั่นป่วนในบรรยากาศจะทำหน้าที่แพร่กระจายควันที่เข้มข้นตามแนวแกนให้เจือจางไปทั้งในแนวราบและแนวดิ่งซึ่งทำให้ขนาดควันหรือพลูม (Plume) ใหญ่ขึ้นตามระยะทาง (รูปที่ 2 และรูปที่ 3) พลูมของควันถูกเหนี่ยวนำเปลี่ยนไปตามทิศทางลมที่อาจเปลี่ยนไปตามเวลา นอกจากนั้นหากควันมีขนาดใหญ่การพัดพาก็จะได้รับอิทธิพลจากทั้งลมใกล้ผิวพื้นและลมระดับบน โดยทั่วไป พฤติกรรมของลมทั้งสองระดับไม่คล้ายคลึงกัน ลมใกล้ผิวพื้นมีความเร็วน้อยกว่าแต่แปรผันบ่อยทั้งเชิงพื้นที่และเวลาเป็นเพราะลมระดับล่างมีความอ่อนไหวต่อความขรุขระของผิวพื้น (Roughness) และต่อสมดุลพลังงานผิวพื้น(Surface Energy Balance)มากกว่านั่นเอง ควันหากลอยขึ้นสู่ถึงฐานเมฆไอน้ำที่มีอยู่ในควันก็ควบแน่นเป็นละอองน้ำ ดังนั้นควัน-ละอองน้ำที่ควบแน่น-เมฆที่เกิดอยู่ในธรรมชาติก็จะรวมปะปนกัน (รูปที่ 2 ขวาและรูปที่ 3) หากเกิดฝน ฝนก็จะชะล้างควันในบรรยากาศ (Wet Scavenging)มิฉะนั้น ควันก็จะถูกชะล้างแบบแห้ง (Dry Scavenging) สู่ผิวพื้น อาศัยการแพร่กระจายในแนวดิ่งซึ่งควบคุมโดยสภาพการปั่นป่วนในบรรยากาศ
#ข้อที่4 พลศาสตร์ของควัน
ด้วยที่สภาพอากาศมีการแปรผันตามเวลาและพื้นที่อยู่ตลอดควัน(หรือส่วนของควัน)ที่เราสังเกตุเห็นนั้นเป็นผลรวมสุทธิของควันที่ถูกพัดพาและแพร่กระจายตั้งแต่ปล่อยจากแหล่งกำเนิดมาก่อนหน้าและทีหลัง จึงมีลักษณะเป็นพลศาสตร์ (Dynamic) ไม่ใช่เป็นสภาพสถิตย์ที่ชั่วโมงหรือสถานที่ใดหลักพลศาสตร์จึงเหมาะสมสอดคล้องกับการประยุกต์ใช้ในกรณีไฟไหม้ขนาดใหญ่เพราะควันล่องลอยอยู่นานในบรรยากาศและสามารถเคลื่อนที่แพร่กระจายไปทั้งระยะใกล้ (Short-Range Transport) และระยะไกล (Long-Range Transport)
#สรุปและข้อเสนอ
จากที่กล่าวมาผ่านกรณีไฟไหม้โรงงานสารเคมีย่านกิ่งแก้ว สามารถสรุปได้ว่า ระบบหรือเทคโนโลยีจำลองที่เหมาะสมเพื่อใช้คาดการณ์มลพิษอากาศในสถานการณ์ฉุกเฉินควรมีคุณสมบัติหรือองค์ประกอบดังนี้
เป็นการจำลองแบบพลศาสตร์ ในทางปฏิบัติ การจำลองมลพิษอากาศจะสมมติให้ควันเกิดขึ้นเป็นระยะหรือเป็นชุดต่อเนื่องกัน โดยแต่ละชุดเคลื่อนตัวอย่างเอกเทศ แต่ผลสุทธิของควันก็คือผลลัพธ์รวมที่ได้ควันทุกระยะหรือทุกชุดเข้าด้วยกัน ทั้งนี้การจำลองอาจกำหนดให้ควันถูกปล่อยจากแหล่งกำเนิดเป็นก้อนหรือพัฟ (Simulated Puffs) หรืออนุภาค (Simulated Particles)แม้ว่าการจำลองที่ใช้วิธีอนุภาคจะมีความแม่นยำที่ดีแต่ก็ต้องการทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อคำนวณประมวลที่สูงมาก สำหรับการจำลองวิธีพัฟนั้น ได้มีการพัฒนาและประยุกต์ทดสอบมายาวนานจึงมีความสมบูรณ์ทางเทคนิคมากกว่า อีกทั้งต้องการทรัพยากรเพื่อการคำนวณน้อยกว่า การจำลองทั้งสองวิธีนี้แตกต่างกับวิธีพลูม (Simulated Plume) (รูปที่ 5) ที่มีข้อจำกัดหลักคือการจำลองแบบสถิตย์ซึ่งไม่สามารถใช้รองรับหรือประยุกต์สอดคล้องกับสถานการณ์ไฟไหม้ดังกล่าวได้ดี
บูรณาการกระบวนการที่สำคัญเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งได้แก่ การลอยและขยายตัวของควันลมเฉือน การเบ้เอียงของควันเสถียรภาพของบรรยากาศ ชั้นบรรยากาศผกผัน การพัดพาโดยลมและการแพร่กระจายในแนวราบและดิ่งโดยการปั่นป่วนที่ความสูงต่างๆ รวมทั้งการชะล้างแบบเปียกและแห้ง ดังนั้นการจำลองจำเป็นที่ต้องนำเข้าข้อมูลสภาพอากาศจำนวนมาซึ่งในทางปฏิบัติ สามารถใช้ผลลัพธ์จากแบบจำลองพยากรณ์อุตุนิยมวิทยาที่มีความละเอียดกริดสูง(เช่น 1-3 กิโลเมตร) และคาดการณ์ล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 วัน ถ้าการพยากรณ์ได้พิจารณาปัจจัยกายภาพเฉพาะของเมืองใหญ่ (Urban-Scale Modeling) ก็จะทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ในประเทศไทยกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรัฐที่ดำเนินการพยากรณ์อุตุนิยมวิทยาที่ความละเอียดสูงเป็นประจำดังนั้น หากเชื่อมโยงข้อมูลพยากรณ์ดังกล่าวกับการจำลองมลพิษอากาศก็จะเป็นการต่อยอดการประยุกต์ใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ
dynamic คือ 在 DroidSans Youtube 的最佳解答
อัปเดตวงการไอทีรอบโลก #หิวข่าว ep.83 ประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564
:
อัปเดตข่าวสารฝั่งไอที ประจำสัปดาห์กับดรอยด์แซนส์ ที่เก่า เวลาเดิม เล่าให้ฟังครบทุกเหตการณ์ใน 7 วันที่ผ่านมา และ ถ้ายังไม่จุใจสามารถกดกดอ่านข่าวทั้งหมด และ ข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่หน้าเว็บ droidsans.com เลยครับผม ข่าวแน่นๆ มีให้อ่านทุกวัน แต่ถ้าใครอ่านไม่ทัน ก็มาเจอกันได้ที่นี่ กับ หิวข่าว ทุกสัปดาห์น้าาา~~
.
00:00 หิวข่าว EP.83
01:08 เผยโฉมแรก Android 12
02:19 Google พัฒนาเทคโนโลยีวัดอัตราการเต้นหัวใจ และอัตราการหายใจ ใช้แค่กล้องมือถือ
03:39 Google Photos รองรับการซูมขณะดูวิดีโอแล้ว
04:18 Google เผยรายชื่อมือถือใหม่ 26 รุ่น ที่รองรับการใช้งาน ARCore
05:12 OPPO Reno5 Pro เปิดตัวในไทยเป็นที่เรียบร้อย
05:59 Xiaomi Mi 11 โซนยุโรปเริ่มต้นราว 27,000 บาท
07:38 Xiaomi เปิดตัว Mi TV Q1
08:13 Xiaomi เปิดตัว Mi Electric Scooter Pro 2 Mercedes-AMG Petronas F1 Team Edition
09:33 Xiaomi คอนเฟิร์ม! Mi Mix 4 และ Tablet รุ่นใหม่ เตรียมเปิดตัวในปี 2021
10:30 Xiaomi เคาะวันเปิดตัว Redmi K40 Series ในจีน 25 กุมภาพันธ์ 2021
11:16 HUAWEI ไล่พนักงานออก
12:45 นักพัฒนาแฉ Harmony OS ของ HUAWEI ไส้ในคือ EMUI ที่ตัดคำว่า Android ออก
13:55 Galaxy S21 แช่น้ำในตู้ปลา ไลฟ์ผ่านยูทูป ผ่านมา 12 วัน ยังใช้งานได้อยู่
15:33 จอ Dynamic AMOLED 2X ของ Galaxy S21 Ultra กินพลังงานน้อยกว่า Note 20 Ultra และ S20 Ultra
16:43 Samsung Galaxy F62 จะเปิดตัววันที่ 15 กุมภาพันธ์
17:47 หลุดภาพ OnePlus 9 Pro รอบนี้ได้ Hasselblad มาช่วยพัฒนากล้อง
19:01 Nothing ได้รับเงินลงทุน 15 ล้านดอลล่าร์จาก Alphabet
19:51 สเปค moto G10, moto G30, moto E7 Power
20:51 realme เปิดตัวสินค้า AIoT
22:19 เผยภาพเรนเดอร์ realme Race
23:20 Apple อาจเลิกผลิต iPhone 12 mini
24:18 ลือ Apple สั่งยุติดีลธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้ากับ Hyundai
25:36 Qualcomm เปิดตัว X65
26:37 ญี่ปุ่นจัดหาสมาร์ทโฟนให้ผู้สูงอายุใช้ฟรี ๆ
28:16 สรุปโครงการ “ม.33 เรารักกัน”
29:40 Starlink บริการอินเทอร์เน็ตผ่านระบบดาวเทียม

dynamic คือ 在 iT24Hrs Youtube 的最讚貼文
พรีวิว Galaxy S21 Preview จับของจริง S21+ S21 Ultra Galaxy Buds pro Galaxy SmartTag
ครั้งแรกของ Galaxy S ที่มีปากกา S Pen เหมือน Galaxy Note
ทีมงานไอที 24 ชั่วโมง เป็นคนไทยกลุ่มแรก และเป็นกลุ่มแรกๆในโลก ที่ได้สัมผัสซัมซุง Galaxy S21 คลิบนี้ทางทีมงานจะขอมา พรีวิว Galaxy S21 จับของจริง ลองจริง พร้อม Gadget เสริมอีกครบครัน
เริ่มต้นด้วย Samsung Galaxy s21 สีหวานๆจอ Display 6.2 นิ้ว มี 4 สีคือ Phantom Pink / Phantom Gray / Phantom White แต่ในมือของเรานี้คือสี Phantom Violet สาวๆเห็นก็น่าจะโดนใจ ส่วนหนุ่มๆ หรือสายเข้ม Phantom Gray / Phantom White
สเปค Samsung Galaxy 21
จอภาพ : Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.2 นิ้ว, Full HD+, อัตรารีเฟรช 60 – 120Hz
ชิป : Samsung Exynos 2100 / Qualcomm Snapdragon 888
หน่วยความจำ : RAM 8GB + ROM 128 / 256GB
กล้องหลัง : 3 ตัว
– Main 12MP (f/1.8), 26 มม., 1/1.76 นิ้ว, 1.8µm, OIS
– Ultra-wide 12MP (f/2.2), 13 มม., 1/2.55 นิ้ว, 1.4µm
– Telephoto 64MP (f/2.0) 28มม., 1/1.76 นิ้ว, 0.8µm, OIS
– ซูมออปติคอล 3 เท่า, PDAF
กล้องหน้า : Wide 10 MP (f/2.2), 25 มม., 1/3.24 นิ้ว, 1.22µm
เครือข่าย : 2G (GPRS/EDGE), 3G (UMTS), 4G (LTE), 5G
การเชื่อมต่อ :
– Wi-Fi AX
– Bluetooth 5.0
– USB Type-C
– NFC
เซนเซอร์ : Accelerometer, ultrasonic fingerprint sensor, proximity detection, gyroscope, compass, hall sensor, brightness sensor
แบตเตอรี่ : 4000mAh, รองรับชาร์จเร็ว QI
ระบบปฏิบัติการ : Samsung One UI 3.1 บน Android 11
จอภาพ : Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว, Full HD+, อัตรารีเฟรช 60 – 120Hz
ส่วน Galaxy s21+ หน้าตา และโทนสีที่เหมือนกันกับ Galaxy s21 แต่จอ Display ของ Galaxy s21+ ขนาด6.7 นิ้ว ยาวกว่า / ความจุของแบต Galaxy s21 4000 มิลลิแอมป์ ส่วนพี่ Galaxy s21+ 4800 มิลลิแอมป์
สเปค Samsung Galaxy 21+
ชิป : Samsung Exynos 2100 / Qualcomm Snapdragon 888
หน่วยความจำ : RAM 8GB + ROM 128 / 256GB
กล้องหลัง : 3 ตัว
– Main 12MP (f/1.8), 26 มม., 1/1.76 นิ้ว, 1.8µm, OIS
– Ultra-wide 12MP (f/2.2), 13 มม., 1/2.55 นิ้ว, 1.4µm
– Telephoto 64MP (f/2.0) 28มม., 1/1.76 นิ้ว, 0.8µm, OIS
– ซูมออปติคอล 3 เท่า, PDAF
กล้องหน้า : Wide 10 MP (f/2.2), 25 มม., 1/3.24 นิ้ว, 1.22µm
เครือข่าย : 2G (GPRS/EDGE), 3G (UMTS), 4G (LTE), 5G
การเชื่อมต่อ :
– Wi-Fi AX
– Bluetooth 5.0
– USB Type-C
– NFC
เซนเซอร์ : Accelerometer, ultrasonic fingerprint sensor, proximity detection, gyroscope, compass, hall sensor, brightness sensor
แบตเตอรี่ : 4800mAh, รองรับชาร์จเร็ว QI
ระบบปฏิบัติการ : Samsung One UI 3.1 บน Android 11
Galaxy S21 Ultra มี 2 สี คือ Phantom Silver และ Phantom Black ขนาด Display 6.8 นิ้ว ใหญ่สุดในรุ่นเลย แบต 5000 มิลลิแอมป์
สเปค Samsung Galaxy 21 Ultra
จอภาพ : Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.8 นิ้ว, WQHD+, อัตรารีเฟรช 1 – 120Hz
ชิป : Samsung Exynos 2100 / Qualcomm Snapdragon 888
หน่วยความจำ : RAM 12GB + ROM 128 / 256 / 512GB
กล้องหลัง : 4 ตัว
– Main 108MP (f/1.8), 24 มม., 1/1.33 นิ้ว, 0.8µm, OIS
– Ultra-wide 12MP (f/2.2), 13 มม., 1/2.55 นิ้ว, 1.4µm, AF
– Telephoto 10MP (f/2.4) 72มม., 1/3.24 นิ้ว, 1.22µm, OIS
– Telephoto 10MP (f/4.9) 240มม., 1/3.24 นิ้ว, 1.22µm, OIS
– ซูมออปติคอล 3 และ 10 เท่า, PDAF, Laser AF
กล้องหน้า : Wide 40 MP (f/2.2), 25 มม., 1/2.8 นิ้ว, 0.7µm, AF
เครือข่าย : 2G (GPRS/EDGE), 3G (UMTS), 4G (LTE), 5G
การเชื่อมต่อ :
– Wi-Fi AX
– Bluetooth 5.0
– USB Type-C
– NFC
เซนเซอร์ : Accelerometer, ultrasonic fingerprint sensor, proximity detection, gyroscope, compass, hall sensor, brightness sensor, UWB
แบตเตอรี่ : 5000mAh, รองรับชาร์จเร็ว QI
ระบบปฏิบัติการ : Samsung One UI 3.1 บน Android 11
ราคา Galaxy S21
Galaxy S21 ราคา เริ่มต้น 27,900 บ.
Galaxy S21+ ราคา เริ่มต้น 33,900 บ.
Galaxy S21 Ultra ราคา เริ่มต้น 39,900 บ.
(ราคาขึ้นอยู่กับรุ่น และหน่วยความจำ)
มาดูในส่วนของ Gadget กันต่อว่ามีอะไรบ้าง
- Galaxy Buds pro - หูฟัง Galaxy Buds pro มี 3 สีให้เลือก แต่สิ่งที่เด็ดและดีเหนือกว่าความสวย ใส่แล้วเท่กว่ารุ่นเดิมๆ คือ
- Galaxy Buds pro เวลาเราเล่นเพลงไปด้วยอยู่ดีๆ มีพนักงานมาเสิร์ฟกาแฟ เพลงที่ดังๆอยู่จะเบาลง เปลี่ยนจากโหมดตัดเสียงรบกวนภายนอก มาเป็น Ambient Sound หันมาใส่ใจคนรอบข้าง คุยเสร็จระบบก็จะเล่นเพลงต่ออารมณ์จะเหมือนจะเหมือนพี่ดีเจพูดๆแล้วมีเพลงแบคกาวอยู่ด้านหลังอะไรประมานนี้นะคะ
- Galaxy Buds pro ในขณะที่กำลังดูคลิปในแท็บเล็ตชิวๆอยู่ดีๆ มีใครโทรเข้ามาในมือถือ Galaxy Buds pro ก็จะตัดสลับให้เรารับสายโทรศัพท์นั้นได้ทันที
- Galaxy SmartTag เป็น Gadget ของคนขี้ลืมใข้ผูกไว้กับสิ่งของที่เราใช้ประจำ เช่น พวงกุญแจรถ เพราะถ้ากุญแจรถหายขับรถกลับบ้านไม่ได้ อาจจะได้นอนออฟฟิศ .. แต่ถ้าเรามี Galaxy SmartTag แล้วใช้คู่กับแอป Smart Things Find กดตามหาในแอปก็เจอกุญแจรถได้ง่ายๆ
บทสรุป พรีวิว Galaxy S21 Series
หลังจากที่ลองจับจริง ใช้จริงมาแล้ว จุดเด่นของ Galaxy S21 ภายนอกเราจะเห็นได้ว่าสีสันและขนาดจับถนัดมือตามสไตล์ Galaxy S ตัว Galaxy S21 กับ Galaxy S21+ ถือว่าตอบโจทย์ และดีไซต์สีสันน่าสนใจ ถ้าเป็นสี Phantom Violet กับ Galaxy Buds pro ถ้าใช้คู่กันสีโทนเดียวกันถือว่าเริ่ด!! ส่วนพี่ใหญ่ Galaxy S21 Ultra ที่ทั้งถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอได้ดี และยังมีปากกา S Pen มาให้แฟนๆตระกูล S ได้ลองเปิดใจใช้ดูบ้าง ถึง S Pen จะไม่ได้เสียบฝังเข้าไปในตัวมือถือแบบโน้ตเลย แต่เรื่องความจับถนัดมือ อันนี้ทีมงานยกให้เรื่องความเสมือนจริง เพราะขนาดปากกาที่ใกล้เคียงกับปากกาและดินสอของจริงที่เราใช้เลย

dynamic คือ 在 ลงทุนแมน Youtube 的最佳貼文
สรุป วิธีการแบ่งหุ้นในบริษัท จากซีรีส์เรื่อง START-UP
ถ้าเรากับเพื่อน ร่วมก่อตั้งบริษัทแห่งหนึ่งขึ้นมาด้วยกัน
การแบ่งหุ้นในบริษัทให้เราและเพื่อนเท่าๆ กัน ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แต่สำหรับธุรกิจ Start-up อาจไม่ได้เป็นแบบนี้เสมอไป
เพราะการแบ่งหุ้นอย่างเท่าเทียมอาจสร้างปัญหาใหญ่ตามมาในภายหลัง
ซึ่งเราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการแบ่งหุ้นในธุรกิจ Start-up ได้ จากตอนที่ 6 ของซีรีส์เรื่อง “START-UP” ที่กำลังเป็นที่นิยมใน Netflix ตอนนี้
แล้วซีรีส์เรื่อง Start-up บอกอะไรเราไว้บ้าง
และเรื่องนี้สำคัญกับคนที่กำลังจะสร้างธุรกิจ Start-up อย่างไร?
เราจะมาคุยกันใน LTG Talk กันค่ะ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู ต้องขอเตือนก่อนนะคะว่า ในวิดีโอนี้อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาในซีรีส์บางส่วนนะคะ
ซีรีส์เรื่อง START-UP เป็นเรื่องราวของหนุ่มสาวที่กำลังเดินตามความฝัน ในการสร้างธุรกิจ Start-up ให้ประสบความสำเร็จ
ซึ่งตัวละครหลักในเรื่องนี้ ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Start-up ที่ชื่อว่า “ซัมซานเทค”
โดยที่ ซัมซานเทค เป็น Start-up ที่อาศัยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาพัฒนาเป็นบริการ เช่น การวิเคราะห์ใบหน้า และลายมือ
ซึ่ง คนแรกที่ก่อตั้งบริษัทนี้ก็คือ คือ “นัมโดซาน” และเขายังเป็นนักพัฒนาคนสำคัญในบริษัทนี้ด้วย
ซึ่งในภายหลัง ก็มี “คิมยงซาน” และ “อีชอลซาน” เข้ามาร่วมสร้างและพัฒนาบริษัทนี้ด้วยกัน
แต่จุดอ่อนของบริษัทนี้อยู่ที่ ผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสามคน ล้วนเป็น “นักพัฒนา” หรือ Developer เหมือนกันหมด
ทำให้ ซัมซานเทค ขาดคนที่มีทักษะด้านการบริหาร และไม่มีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน
นอกจากนี้บริษัทยังไม่สามารถโน้มน้าวให้นักลงทุน หรือ VC (ธุรกิจสำหรับการร่วมลงทุน) มาร่วมลงทุนได้
ต่อมาซัมซานเทค ก็ได้พบกับ “ซอดัลมี”
ซึ่งเธอคนนี้มีสิ่งที่ทั้งสามผู้ก่อตั้ง ซัมซานเทค ขาดหายไป
และได้กลายมาเป็น CEO ของซัมซานเทค
ต่อมาเธอก็ได้ชักชวน “จองซาฮา” ให้เข้ามาเป็นดีไซเนอร์ของบริษัทอีกหนึ่งคน
กลายเป็นว่า ในตอนนี้ ซัมซานเทค มีคนที่เข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทแล้วทั้งหมด 5 คนด้วยกัน
ซึ่งหลังจากนี้ ทั้ง 5 คนก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “การแบ่งหุ้นในบริษัท”
โดยเริ่มแรก พวกเขาแบ่งหุ้นให้เท่าๆ กัน อย่างเท่าเทียม ดังนี้
นัมโดซาน ถือหุ้น 19%
ส่วนสมาชิกคนอื่นๆในทีม
และพ่อของนัมโดซาน ซึ่งเป็นผู้ออกทุนในช่วงแรก
ก็ได้รับหุ้นไปเท่าๆกันอยู่ที่ 16%
และอีก 1% ที่เหลือ มอบให้กับญาติของนัมโดซาน ผู้ที่เคยช่วยออกแบบและตัดต่อวิดีโอ
ดูเหมือนว่า การแบ่งหุ้นอย่างยุติธรรมในสัดส่วนที่เท่าๆ กันนี้ จะทำให้ทุกฝ่ายพึงพอใจ และยังช่วยป้องกันไม่ให้ใครยึดบริษัทไปเป็นของตัวเองได้ง่ายๆ
แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปนะคะ
เพราะสำหรับธุรกิจ Start-up การแบ่งหุ้นเช่นนี้อาจส่งผลเสียอย่างที่เราคาดไม่ถึง
สำหรับ Start-up ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ๆ
สิ่งสำคัญที่สุด คือ การสร้างความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่จะเข้ามาลงทุน
เนื่องจากธุรกิจ Start-up ส่วนใหญ่จะเติบโตได้ ต้องอาศัยเงินจากนักลงทุน หรือ Venture Capital (VC)
เพื่อให้มีเงินทุนมากพอที่จะนำมาพัฒนาสินค้าและบริการของบริษัท
ดังนั้น การที่ซัมซานเทคแบ่งหุ้นให้เจ้าของแต่ละคนเท่าๆ กัน จะทำให้ผู้ลงทุนมองว่า ผู้นำของบริษัทไม่มีอำนาจที่ชัดเจน และกลายเป็นจุดอ่อนให้กับบริษัทได้
เนื่องจาก “อำนาจ” ในการบริหาร สามารถสะท้อนได้จากจำนวนหุ้นที่ถืออยู่
ยิ่งถือหุ้นอยู่มากเท่าไร อำนาจในการโหวต หรือออกเสียงก็จะมากตามไปด้วย
แต่หากผู้ถือหุ้นทุกคน มีสัดส่วนการถือหุ้นใกล้เคียงกัน
ถ้าในอนาคตผู้ถือหุ้นเกิดมีปัญหากันขึ้นมาแล้วตกลงกันไม่ได้
อีกทั้งต่างฝ่ายต่างก็มีเสียงโหวตเท่าๆ กัน
ในบางกรณีอาจจะจบลงด้วยการยุบบริษัทได้
และนั่นหมายความว่า เงินของผู้ที่เข้าลงทุนจะสูญเปล่าทันที
ดังนั้น ในซีรีส์เรื่องนี้ จึงได้เสนอทางแก้ โดยให้บริษัทเลือก “Keyman” หรือ ตัวหลัก ขึ้นมา 1 คน โดยคนที่เป็น Keyman จะต้องเป็นบุคคลที่บริษัทขาดไม่ได้ และเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในบริษัท
ซึ่งหลังจากที่เลือก Keyman ได้แล้ว ก็ค่อยรวบรวมหุ้นส่วนใหญ่ไปไว้ที่คนนั้น อย่างน้อย 60% ถึง 90%
ดังนั้นในตอนหลัง ซัมซานเทค จึงได้ปรับสัดส่วนการถือหุ้น ดังนี้
Keyman คือ นัมโดซาน ถือหุ้น 64%
ซอดัลมี ถือหุ้น 7%
คิมยงซาน ถือหุ้น 7%
อีชอลซาน ถือหุ้น 7%
จองซาฮา ถือหุ้น 7%
พ่อของนัมโดซาน ถือหุ้น 7%
ญาติของนัมโดซาน ถือหุ้น 1%
เหตุผลที่ต้องรวบรวมหุ้นจำนวนมากขนาดนี้ไปไว้ที่คนๆ เดียว
ก็เพื่อป้องกันปัญหาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะมีคนเข้ามาลงทุน
เนื่องจากธุรกิจ Start-up จะมีสิ่งที่เรียกว่า “การเปิดรอบระดมทุน”
โดยจะมีตั้งแต่รอบ Pre-Series และ Series A, B, C และรอบต่อไปเรื่อยๆ
ซึ่งในแต่ละรอบ จำนวนเงินลงทุน และผู้ถือหุ้นหน้าใหม่ ก็อาจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น หาก Keyman ถือหุ้นในสัดส่วนที่ต่ำ หรือน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง
ก็อาจทำให้หลังจากการเปิดรอบระดมทุนไปแล้ว หุ้นส่วนใหญ่จะตกไปอยู่ในมือของนักลงทุนมากกว่า Keyman ได้
ซึ่งนี่อาจสร้างปัญหาตามมามากมาย
ทั้งการสูญเสียสิทธิ์ในการบริหาร และความเป็นเจ้าของบริษัท
หรือไม่แน่ว่า บรรดาผู้ถือหุ้นรายเล็กอาจร่วมมือกับนักลงทุนรายอื่น เพื่อทำการยึดบริษัท และปลด Keyman ออกจากตำแหน่งในการบริหาร ก็เป็นไปได้เช่นกัน
วิธีการแบ่งหุ้นแบบที่ในซีรีส์เรื่องนี้เสนอไว้นั้นใกล้เคียงกับวิธีการแบ่งหุ้นที่เรียกว่า Dynamic Equity Split หรือ DES
วิธีการแบ่งหุ้นแบบ DES ไม่แนะนำให้เราแบ่งหุ้นให้ทุกคนเท่าๆ กัน
แต่จะแนะนำให้แบ่งตาม “ผลงาน”
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนในการถือหุ้นอาจมีการเปลี่ยนได้ในอนาคต
โดยจะขึ้นอยู่กับทักษะและความสามารถในการทำงาน หรือ จำนวนผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแบ่งหุ้น ก็คือ ความชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใดๆ ก็ตาม การแบ่งหุ้นต้องระบุชัดเจน เป็นลายลักษณ์อักษร
เพื่อป้องกันความคลุมเครือ และความขัดแย้ง
